อ่านละคร ลีลาวดีเพลิง ตอนทีี่ 10 วันที่ 20 ม.ค. 58

อ่านละคร ลีลาวดีเพลิง ตอนทีี่ 10 วันที่ 20 ม.ค. 58

ลิลินวางแผนอย่างรอบคอบที่จะเปิดโปงความ จริงเรื่องทรงพลและศุภารมย์ร่วมมือกับหมอศรัณย์ทำให้ทิวัตถ์เข้าใจว่าปองภพเป็นคนฆ่าศุภิสราด้วยการนำคลิปวีดิโอที่หมอบันทึกไว้ขณะทำการรักษามาเปิดภายในงานแต่งงานของวรรณิตกับอนันยชซึ่งจัดที่โรงแรมรอยัลเพิร์ลของศักดิ์สิทธิ์

อนันยชนำสร้อยเพชรของศุภิสราที่ขอจากศุภารมย์มามอบให้เจ้าสาวคนสวย วาสนาเห็นแล้วตาลุกวาวด้วยความโลภ แต่วรรณิตกลับบ่ายเบี่ยงไม่อยากรับเพราะมันราคาแพงเกินไปสำหรับเธอ วาสนาไม่พอใจในความมักน้อยของหลานสาว ติงเธอว่าจะปฏิเสธน้ำใจของอนันยชได้ยังไง ใครให้อะไรก็ควรรับไว้ ถ้ายังไม่เอาก็ให้ตนเก็บไว้ให้ก่อน



พูดแล้ววาสนาจะดึงกล่องสร้อยเพชรมาแต่อนันยชไม่ยอม และขอเวลาสักครู่ให้ตนอยู่กับวรรณิตแค่สองคน วาสนาจึงพาช่างแต่งหน้าทำผมออกไปพร้อมเสียงบ่นว่าเร็วๆหน่อยแล้วกัน วรรณิตยังแต่งตัวไม่เสร็จ

เมื่ออยู่กันตามลำพัง อนันยชทำซึ้งด้วยการใส่ สร้อยเพชรให้วรรณิตอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน

“สร้อยเส้นนี้ถึงแม้ว่ามันจะดูเก่าไปหน่อย แต่ก็เป็นสร้อยของคนที่ผมรักมาก เมื่อเขาไม่อยู่แล้วผมก็อยากให้ณิตเอาไว้ เพื่อเป็นคำสัญญาว่าณิตจะเป็นคนที่ผมรักคนสุดท้าย”

วรรณิตนิ่งไปอย่างคาดไม่ถึง สบตาอนันยชอย่างซาบซึ้งใจ...ฝ่ายลิลินที่พร้อมแล้วสำหรับแผนการสำคัญโดยมีปรมัตถ์ยินดีให้ความร่วมมือ แต่ไม่ทันไรแค่เริ่มงานก็ทำให้เธอหนักใจเพราะกานดาพาตำรวจเข้ามาหลายนาย นำโดยรองฯศัลย์ที่สนิทชิดเชื้อกับทรงพลและศุภารมย์เป็นอย่างดี

กานดาแจ้งศักดิ์สิทธิ์ว่าแขกทุกคนต้องได้รับการตรวจค้นก่อนเข้างาน อ้างว่างานนี้มีแต่คนสำคัญเลยต้องมีการอารักขาดูแลกันเป็นพิเศษ ลิลินแอบมองอยู่มุมหนึ่งหน้าเครียดที่ผิดแผน แต่ยังไงก็ไม่ถอดใจอย่างแน่นอน

แขกทยอยมาเรื่อยๆ ฝ่ายเจ้าบ่าวยืนต้อนรับอยู่หน้าห้องจัดเลี้ยง รวมทั้งวาสนาญาติผู้ใหญ่คนเดียวของวรรณิตคอยเสนอหน้ารับซองหนาๆหนักๆอย่างหน้าชื่นตาบาน ทรงพลกับศุภารมย์ไม่ชอบใจแต่ไม่รู้จะทำยังไงกับคนอย่างเธอ ได้แต่ข่มใจไว้เพื่อความราบรื่นของงานลูกชาย

หมอศรัณย์มาถึงก็ทักทายบ่าวสาวอย่างกันเองก่อนจะขอถ่ายรูปและมอบซองให้วาสนาที่เยี่ยมหน้ามาทวงถามกึ่งหยอกล้ออย่างเนียนๆ แต่พอเห็นกลุ่มตำรวจวาสนาก็ชะงัก เช่นเดียวกับวรรณิตที่ใจเสีย เข้ามากระซิบยายว่าเห็นตำรวจมาตั้งแต่เย็นแล้ว หรือว่าเขาจะมาจับยายเรื่องยงยุทธ

“ปากเสีย! ตำรวจจะรู้ก็เพราะแกพูดนี่แหละ” วาสนากระซิบด่าหลานสาวแล้วหันไปยิ้มกับอนันยช บอกให้รับแขกไปก่อน ยายยืนนานขาแข็งไปหมดแล้ว

วาสนาหลบออกไปจากตรงนั้น ทิ้งวรรณิตยืนหน้าซีดหวาดหวั่น แต่อีกครู่ก็โล่งอกเมื่อศุภารมย์เข้ามาบอกให้อนันยชพาเธอไปเติมหน้าเติมปากอีกหน่อย ทรงพลตามเข้ามายืนข้างศุภารมย์ พูดคุยกับศัลย์ว่ามีใครน่าสงสัยบ้างไหม

“ยังไม่พบครับ”

“บางทีมันอาจจะเป็นแค่การขู่ก็ได้”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีค่ะ”

“คุณพลกับคุณต่ายไม่ต้องห่วงครับ ผมวางกำลังไว้ทุกพื้นที่แล้ว ถ้ามันมาจริงๆเราต้องรู้แน่ว่ามันเป็นใคร”

ทรงพลกับศุภารมย์พยักหน้า แต่ก็ยังไม่คลายความกังวลอยู่ดี...อีกไม่นานนัก ทั้งคู่ได้ยินเสียงสิตาโวยวายตำรวจอยู่ตรงทางเข้างาน เธอใส่ชุดราตรีสีขาวราวกับเจ้าสาวก็ไม่ปาน

ตำรวจขอตรวจค้นแต่เธอไม่ยอม อวดเบ่งว่าเป็นลูกเสี่ยหาญผู้กว้างขวางในจังหวัด ถ้าใครเข้ามาตนจะโทร.ฟ้องพ่อให้จัดการ

“ถ้าเธอไม่ยินดีให้ตรวจ ฉันก็ไม่ยินดีที่จะให้เธอเข้างาน” ศุภารมย์ส่งเสียง สิตาหันมองและตอบกลับว่าตนมาในฐานะตัวแทนของพ่อ “ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องสั่งให้เพิ่มการตรวจเธอเป็นพิเศษ ทุกคนต้องตรวจ ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่เธอใส่ชุดขาวมาก็ถือว่าผิดมารยาทมากแล้วนะ”

สิตาหงุดหงิดเสียหน้า หันไปหาทิวัตถ์จะขอสิทธิ พิเศษไม่ต้องตรวจค้นแต่เขาก็ช่วยไม่ได้ บอกให้ทำตามกติกาจะดีกว่า

“ก็ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวเราเข้างานพร้อมกันนะคะวิน ทุกคนจะได้เห็นชุดที่ตาตั้งใจตัดมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ”

“แต่ผมต้องอยู่รับแขกผู้ใหญ่ ตาเข้าไปก่อนเถอะ”

“งั้นตาไม่เข้าแล้ว วินอยู่ไหนตาอยู่นั่น”

“ตามใจตาแล้วกัน” ทิวัตถ์ตัดบทอย่างหน่ายๆ แล้วเหลียวมองหาลิลินที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

ooooooo

หน้าห้องจัดเลี้ยง ทรงพลกับศุภารมย์กำลังต้อนรับท่านผู้ว่าฯที่มาร่วมงานด้วยรอยยิ้ม ทักทายบ่าวสาวอย่างอารมณ์ดี แถมยังเลยไปแซวทิวัตถ์กับสิตาที่ยืนคู่กันในชุดหล่อสวยราวกับบ่าวสาวอีกคู่

“พี่ชายแต่งไปแล้ว...แล้วเมื่อไหร่จะถึงคุณวินล่ะ หนูสิตาก็ดูเหมาะสมกันดีนะ จะได้ต่อยอดทางธุรกิจกันไงล่ะ”

เข้าทางสิตาอย่างจัง! เธอฉีกยิ้มและกล่าวอย่างมีความหวังว่า “ถึงยังไม่แต่งตอนนี้แต่ก็อีกไม่นานหรอกค่ะ จริงไหมคะวิน”

“ดีๆ ถ้าแต่งเมื่อไหร่อย่าลืมส่งการ์ดมาล่ะ รับรองว่าต้องมาแน่ๆ”

ผู้ว่าฯยิ้มชอบใจ แต่ทิวัตถ์ลอบมองสิตาเซ็งๆ ศุภารมย์ยืนฟังอยู่ด้วยตัดบททันทีว่า

“พ่อกับแม่จะพาท่านผู้ว่าฯเข้างานก่อน ยังไงวินก็อยู่ช่วยรับแขกด้านนี้ก่อนนะลูก”

“ครับแม่ต่าย”

พวกศุภารมย์ไปแล้ว สิตายิ้มกริ่มขยับเข้าหาทิวัตถ์ แต่เขากลับเอ่ยอย่างหงุดหงิดใส่เธอว่า

“คุณไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย คุณก็รู้ว่าเราเป็นได้แค่เพื่อนกัน”

“วิน! นี่วินจะใจแข็งกับตาไปถึงเมื่อไหร่คะ”

“แก้วที่แตกไปแล้วมันไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอกนะตา”

สิตาทำท่าจะไม่ยอม ทิวัตถ์ชิงเดินหนีไปดื้อๆ ส่วนอีกด้านหนึ่ง ลิลินถือกระเป๋าใบย่อมกำลังจะหาทางเลี่ยงตำรวจออกไป แต่ทันใดศัลย์หันมาเห็น จึงเดินตามมาถามเธอว่าจะไปไหน หญิงสาวโกหกว่าเข้าห้องน้ำ

“ในห้องแต่งตัวก็มีห้องน้ำนี่”

“ฉันต้องเอาเสื้อผ้าไปเก็บ”

“เอาเสื้อผ้าไปเก็บ...แล้วไม่เปลี่ยนกลับตอน

งานเลิกเหรอ”ลิลินชะงักก่อนจะทำใจดีสู้เสือท้าให้ตรวจ “ถ้าสงสัยอะไร ตรวจดูก็ได้นะคะ” เธอยื่นกระเป๋าให้ ศัลย์จ้องตาเธออย่างหยั่งเชิงแล้วบอกว่าตนก็แค่ถามดู ทั้งที่ลึกๆ ไม่ไว้ใจเธอ

ลิลินนำเสื้อผ้าชุดช่างไฟในกระเป๋าไปให้ปรมัตถ์เพื่อเตรียมตัวเข้ามาในงานตามแผนที่วางไว้ ปรมัตถ์เห็นตำรวจก็ไม่ค่อยสบายใจ กลัวว่าพวกตำรวจจะรู้แผนของเขา

“ถ้ามัตกลัว...จะถอนตัวก็ได้นะ”

“ลิน...มัตไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไร มัตเป็นห่วงลินต่างหาก”

“เรามาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไงลินก็จะทำ”

ปรมัตถ์มองลิลินที่มุ่งมั่น ก็ทำให้ตัวเองพร้อมสู้ไปกับเธอ

ooooooo

กานดากับศัลย์กำลังตรวจแขกที่เข้างานตามรายชื่อตรงหน้าประตูทางเข้า ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของชายสูงวัยคนหนึ่ง เขาและเธอรีบเดินออกไปดู

“ทำไมฉันจะเข้าไม่ได้ นี่พวกแกไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใคร”

“มีอะไรคะ” ถามแล้วกานดาตะลึง ไม่คิดว่าจะเป็นทรงเผ่า ศัลย์ก็เช่นกัน ยืนอึ้งจนทรงเผ่าต้องเป็นฝ่ายทักทั้งคู่ก่อน

“อ้าว...นึกว่าใคร คุณกานดาผู้พ่ายรัก ช่างจงรักภักดีกับเจ้านายจริงๆนะครับ ไม่เหมือนหมาบางตัว พอรู้ว่าไม่มีข้าวให้มันกิน ก็หาเจ้าของใหม่ทันที”

ท้ายประโยคศัลย์รู้ว่าทรงเผ่าจงใจแขวะตน แต่ต้องข่มอารมณ์บอกลูกน้องไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวตนจัดการเอง

“ศัลย์น้องพี่...ช่วยจัดการกับลูกน้องของแกหน่อยนะ ดูสิจะไม่ยอมให้ฉันเข้าท่าเดียวเลย แล้วแกช่วยไปบอกพวกมันด้วยนะว่าฉันเคยเป็นใครมาก่อน”

“ขอโทษนะคะ งานนี้ให้เข้าเฉพาะคนที่มีบัตรเชิญเท่านั้นค่ะ”

“เหรอ...แล้วนี่อะไร”

ทรงเผ่ายื่นบัตรเชิญให้กานดา เธอรับมาเห็นชื่อเขาก็หน้าเสีย เพราะเธอเป็นคนจัดการเรื่องบัตรเชิญ

“แต่ผมคงให้เข้างานไม่ได้ พี่ดื่มมาใช่ไหมครับ”

ทรงเผ่าเปลี่ยนน้ำเสียงขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าศัลย์ไม่ไว้หน้า “อะไร...ตกลงจะไม่ให้ฉันเข้า หรือจะต้องวัดแอลกอฮอล์ก่อนมั้ย ไหนล่ะที่เป่า เอามาสิ”

ศัลย์นิ่งไป ทรงเผ่าได้ทีเข้ามากระซิบใกล้ๆได้

ยินกันสองคน “แกก็รู้นะว่าฉันเป็นใคร” แล้วผละออกมานิด ถามหาเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ไหน

อนันยชกับวรรณิตยืนคุยกับแขกคนอื่นอยู่ถัดไป ทรงเผ่าเหลือบเห็นรีบเดินไปทักเจ้าบ่าวอย่างคุ้นเคย

“ไม่ได้เจอกันแค่ 15 ปี นี่หลานวันโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย หล่อไม่เบา”

“อ๋อ...ผู้กำกับนี่เอง นี่วรรณิตเจ้าสาวของผมครับ”

วรรณิตยกมือไหว้ ทรงเผ่าตะลึงเมื่อเห็นหน้าตาเธอชัดๆ อุทานชื่อคุณต้อย...อนันยชรีบค้านว่าไม่ใช่ เธอชื่อวรรณิต

“ขอโทษๆ ฉันลืมไปซะสนิทเลยว่าคุณต้อยตายไปนานแล้ว”

“ไม่เป็นไรค่ะ ใครเห็นณิตก็ทักแบบนี้กันทั้งนั้น เชิญถ่ายรูปด้านนี้ดีกว่าค่ะ”

“ไม่ดีหรอก เจ้าสาวเจ้าบ่าวสวยๆหล่อๆ อย่ามา ถ่ายรูปกับคนเมาอย่างฉันเลย แล้วนี่คุณต่ายกับคุณพลล่ะ”

“คงอยู่ในงานแล้วครับ ยังไงก็ตามสบายนะครับ”

“ได้ๆ ขอบใจมาก” ทรงเผ่าเดินกะเผลกเข้างานไป กานดาสีหน้าเครียดไม่สบายใจ ศัลย์มองตามทรงเผ่าไม่วางตา

การมาของทรงเผ่าทำให้ศุภารมย์กับทรงพลตกใจจนหน้าเจื่อนใจคอไม่ดี

“ตกใจ! ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าไม่รู้ล่ะสิว่าฉันได้บัตรเชิญด้วย” ทรงเผ่าโชว์บัตรเชิญ...ศุภารมย์มองกานดาที่เดินตามมาตาขวาง ทรงเผ่ามองออกรีบเอ่ยปาก “ไม่เป็นไร คนเราผิดพลาดกันได้ ฉันไม่ถือ ไอ้เรื่องทำให้ผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิดเนี่ย ฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว”

พูดแล้วทรงเผ่ามองไปเห็นท่านผู้ว่าฯก็ทักทายด้วยท่าทีนอบน้อม ทรงพลเลยต้องแนะนำตัวตามมารยาท

“นี่พี่เผ่า แกเคยเป็นผู้กำกับที่นี่น่ะครับ”

“อ๋อ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ ท่าทางคุณทรงพลกับคุณเผ่าคงจะสนิทกันมากนะ เชิญนั่งครับ ดีๆๆ คนกันเองทั้งนั้น”

“ไม่กันเองได้ยังไงล่ะ บอกให้นะท่าน ถ้าไม่มีผมนะ คุณพลกับคุณต่ายคงไม่ได้มีกินมีใช้เหมือนทุกวันนี้หรอก”

สองคนที่ถูกเอ่ยชื่อถึงกับสะอึก ทราบดีว่าทรงเผ่าหมายถึงเรื่องอะไร และควรจะเบรกเขาด้วยวิธีไหน

“ผมว่าถ้าพี่จะแสดงความยินดีกับพวกเรา งั้นเชิญด้านในก่อนดีกว่านะครับ”

“รองฯศัลย์ช่วยพาผู้กำกับไปที่โต๊ะวีไอพีด้านในก่อน”

“มันต้องอย่างนี้ ไปๆ”

พอศัลย์เดินประกบทรงเผ่าออกไป ศุภารมย์ก็หันมาเอาเรื่องกานดาทันที

“มันเกิดอะไรขึ้น”

“กานคงจะไม่ได้เอารายชื่อคุณเผ่าออกจากรายชื่อแขกที่เราส่งกระเช้าให้ทุกปีน่ะค่ะ”

ศุภารมย์ไม่สบอารมณ์ หันมองตามทรงเผ่าไปอย่างกังวล

ooooooo

ขณะเดินออกมาด้วยกันมุมหนึ่งในงาน ทรงเผ่าแขวะศัลย์ว่าทรงพลกับศุภารมย์คงเลี้ยงเขาดี เขาถึงได้เชื่องอย่างนี้

“จะพูดอะไรก็ระวังหน่อยครับพี่ ตอนนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว”

ทรงเผ่าเข้าใจว่าศัลย์หมายถึงอะไร เลิกคิ้วยักไหล่เปลี่ยนเรื่องคุย “อ๊ะ แต่ก็ช่างเถอะ ไหนล่ะโต๊ะวีไอพี”

ศุภารมย์เดินตามมาเงียบๆ ถามทรงเผ่าว่าต้องการอะไร ทรงเผ่าสังเกตท่าทีของเธอก็ดูออกทันทีว่าต้องการเชิญให้ออกจากงาน เหลือบตามองทรงพลที่ยืนข้างหลังศุภารมย์แล้วเอ่ยว่า

“ก็อย่างที่พูดเมื่อกี้นั่นแหละนะ ถ้าไม่มีฉันพวกเธอก็จะไม่มีทางมาได้ไกลถึงขนาดนี้ จะว่าไปฉันก็อิจฉาคุณพลจริงๆที่มีหลังบ้านดีอย่างนี้”

“ผู้กำกับต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆเลยดีกว่าค่ะ”

“ดี! ในเมื่ออยากคุยตรงๆ ฉันก็จะคุยตรงๆ ฉันก็ แก่แล้วโรคภัยก็มีแต่จะรุมเร้า เจ็บออดๆแอดๆ ไหนจะต้องมารักษาขาเดี้ยงๆนี่อีก อ้อ แล้วไอ้ค่าใช้จ่ายที่คุณพลกับคุณต่ายจ่ายให้รายปี จริงๆมันก็ไม่น้อยหรอกนะ แต่นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วไม่คิดจะขึ้นให้บ้างเลยหรือไง”

ศุภารมย์แน่ใจว่าทรงเผ่าจะมาขอเงินเพิ่มก็เก็บอารมณ์ไม่อยู่ ทำท่าจะเอาเรื่องแต่ทรงพลเข้ามาไกล่เกลี่ยว่าจริงของทรงเผ่า ถ้าไม่ได้เขาเราคงมาไม่ได้ถึงขนาดนี้

“เออ มันต้องอย่างนี้สิค่อยฟังเข้าหูหน่อย” ทรงเผ่ายิ้มออก เรียกบริกรที่กำลังจะเดินผ่านให้หยุดแล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มชูขึ้นอย่างอารมณ์ดี ศุภารมย์เห็นแล้วยิ่งเครียด ท่าทางเขาจะไม่ยอมออกจากงานไปง่ายๆ แล้ว ยังมารีดเงินเพิ่มอีก

ศุภารมย์ไม่สบอารมณ์ ปรี่ไปตำหนิกานดาที่ทำงานผิดพลาดจนทรงเผ่าได้มาร่วมงาน และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเธอคงจะรู้ว่าต้องพิจารณาตัวเองยังไง

คำพูดของศุภารมย์ทำให้กานดาน้ำตาคลอ ทรงพลเห็นใจ แตะแขนเธอปลอบใจหลังจากศุภารมย์ผละออกไปแล้ว

“เอาน่า...ถึงพี่เผ่าเขาจะเป็นคนโวยวาย แต่คงไม่ทำอะไรอย่างที่คุณต่ายว่าหรอก หน้าเลอะหมดแล้ว ผมไม่อยากให้ใครว่าเลขาผมไม่สวยนะ” ทรงพลส่งผ้าเช็ดหน้าให้ กานดารับมาซับน้ำตาอย่างรู้สึกดี...ศุภารมย์แอบมองห่างๆ จ้องกานดาด้วยแววตาคมกริบ!

งานเลี้ยงเริ่มแล้ว แขกหลายคนถูกปากถูกใจรสชาติอาหารถึงกับมาเอ่ยชมคนทำผ่านศักดิ์สิทธิ์ ฐานะเจ้าของโรงแรม ศักดิ์สิทธิ์ได้หน้ายิ้มปลื้ม แต่ยังทำปากดีใส่วิชนีเมื่ออยู่กันตามลำพัง หาว่าเธอทำอาหารรสชาติจืดชืดไม่เป็นสับปะรด

เชฟสาวได้ยินคำสบประมาทก็ของขึ้นทันที แยกเขี้ยวใส่เจ้าของโรงแรมปากไวอย่างไม่ไว้หน้า

“หน็อย...ฉันว่าวันนี้จะไม่ด่านายซักวันแล้วนะ แต่ก็แปลกเนอะบ้านอื่นเขาเลี้ยงหมาไว้ในกรง แต่นายกลับเลี้ยงไว้ในปาก”

ศักดิ์สิทธิ์อ้าปากจะสวนกลับ แต่วิชนีไม่เว้นช่องไฟให้แทรก

“ถ้าไม่ชอบให้ห่วง ก็คงจะชอบให้แช่งสินะ งั้นขอให้โรงแรมนายไฟดับ...น้ำไม่ไหล...งานล่ม...ไม่ก็มีคนตายในงานไปเลยละกัน”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ สาบานได้ไหมเนี่ยว่าที่ฉันได้ยินเมื่อกี้เป็นเสียงคนพูด ไม่ใช่เสียงผายลม”

“ก็ในเมื่อเจ้านายมันปากเป็นแบบนี้ ต่อให้พูดภาษาคนไปก็คงไม่รู้เรื่อง สงสัยต้องหาอะไรฆ่าสัตว์เลี้ยงในปากนายซะหน่อย”

“ถ้าปากฉันเลี้ยงสัตว์ ปากเธอก็ต้องมีที่กดชักโครกด้วย”

วิชนีหมั่นไส้เขาเต็มที หันไปคว้าทัพพีตักอาหารยัดใส่ปากเขา “ลองดูนะเผื่ออาหารฝีมือฉันจะฆ่าหมาในปากของนายได้”

ศักดิ์สิทธิ์พูดไม่ออกเพราะทัพพีเต็มปาก ได้แต่มองวิชนีเดินปึงปังออกไปด้วยความแค้นใจ...ด้านสิตาก็พยายามเกาะติดทิวัตถ์ แต่เพราะเขากำลังสอดส่องมองหาลิลิน จึงต้องการเลี่ยงหนี โดยดึงศักดิ์สิทธิ์มาเป็นไม้กันหมาแล้วพาตัวเองหนีไปอย่างรวดเร็ว

ทิวัตถ์จับผิดลิลินทุกย่างก้าว ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหนเขาก็คอยประกบ แต่สุดท้ายก็จนแต้มตอนเธอเขาห้องน้ำ...อีกด้านที่วาสนาจะเดินผ่านกลุ่มคุณหญิงคุณนายแขกในงาน พวกหล่อนกำลังเม้าท์มอยเรื่องวรรณิตหน้าเหมือนศุภิสรา หลายคนคิดเห็นตรงกันว่าน่าจะไปทำศัลยกรรม วาสนาเลยเข้ามาขัดคออย่างวัวสันหลังหวะ แต่หมอศรัณย์เดินมาได้ยินเข้ามาร่วมวงบอกว่าถ้าทำแล้วสวยขึ้นตนก็เห็นด้วย

วาสนาหยุดกึก คิดว่าต่อความยาวอาจเพลี่ยงพล้ำ ตัดบทว่า “วันมงคลอย่าไปพูดเรื่องไร้สาระเลยค่ะ”

คุณหญิงคุณนายเลยขอตัวไปรวมกลุ่มกับเพื่อนเก่า พอพวกเธอคล้อยหลัง วาสนาก็บ่นกับศรัณย์ว่า

“ใช้ไม่ได้จริงๆ มีเงินใช่ว่าจะมีมารยาท มีอย่างที่ไหน เม้าท์เจ้าสาวในงานเขา...สงสัยคงต้องไปบอกพ่อพลกับแม่ต่ายแล้ว ทีหลังจะเชิญใครมาก็คัดคนหน่อย”

“แล้วคุณณิตนี่ทำศัลยกรรมมาจริงๆใช่ไหมครับ”

หมอศรัณย์ยิงตรงจนวาสนาสะอึก หน้าเจื่อนถามหมอว่าพูดอะไร

“ผมว่าเราสองคนก็เหมือนกัน...ไม่สิ...ผมว่าคนที่เข้ามาหาครอบครัวนี้ต่างก็มีเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าไม่มีสิแปลก...ว่ามั้ย”

วาสนาอึ้งกิมกี่ ไม่รู้จะตอบยังไง ทันใดก็สบโอกาสที่ทรงเผ่าเข้ามาทักหมอศรัณย์ ปลีกตัวไปอย่างเนียนๆ

ศรัณย์กับทรงเผ่ารู้จักกันมาก่อน แต่ศรัณย์ท่าทางไม่อยากเจอ ทักทายอย่างเสียไม่ได้ว่า

“พี่สบายดีนะครับ”

“หมอนี่ทักทายตามมารยาทจริงๆ หมอเห็นก็น่าจะรู้นะว่าฉันมันสบายดีหรือเปล่า แล้วนี่หมอยังมารักษาให้นายวินอยู่หรือเปล่า”

“เราเคยตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนั้น”

“โทษที...ลืมไป”

“พอดีผมมีคนรออยู่...ขอตัวก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวก่อนสิหมอ ฉันมีเรื่องธุรกิจอยากคุยกับหมออยู่ แต่คุยตอนนี้คงจะไม่สะดวก ไว้เดี๋ยวฉันไปหา เผื่อนั่งกินกาแฟกันซะหน่อย”

“ทางที่ดีผมว่าเราอย่าเจอกันดีกว่า เพราะคุณทรงพลกับคุณต่ายคงจะไม่ชอบใจถ้าเห็นเราอยู่ด้วยกัน”

ศรัณย์พูดจบก็เดินออกไป ทรงเผ่ามองตามด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

ooooooo

ทิวัตถ์ตามจับผิดลิลินต่อไป สังเกตเห็นเธอดูเวลาบ่อยครั้งจนน่าสงสัย เข้ามาถามใกล้ๆว่ามีอะไรทำไมต้องดูนาฬิกาบ่อยๆ

“ก็ดูเวลาที่ฉันต้องขึ้นร้องเพลงไงล่ะ”

“จะตื่นเต้นทำไมในเมื่อคุณก็เป็นนักร้องอาชีพอยู่แล้ว”

“เมื่อไหร่คุณจะเลิกตามฉันแจแบบนี้ซะที”

“ทำไม...ก็ถ้าไม่มีอะไรคุณก็ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรเลยนี่”

ลิลินไม่ต่อปากต่อคำ แล้วจะฉวยโอกาสช่วงที่ศักดิ์สิทธิ์เข้ามาทักทิวัตถ์เลี่ยงหนีไป แต่ไม่สำเร็จเพราะศักดิ์สิทธิ์เรียกเธอไว้...

ภายในห้องจัดเลี้ยง เสียงพิธีกรกล่าวเชิญทรงพลและศุภารมย์ขึ้นเวทีอวยพรบ่าวสาว วาสนาไม่ได้ถูกเชิญแต่ก็เดินตามหลังสองสามีภรรยามาติดๆ แถมยังมาแย่งไมโครโฟนไปพูดก่อนหน้าตาเฉย

“ดิฉันเป็นญาติผู้ใหญ่ของพ่อพลกับแม่ต่าย และเป็นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาว ดิฉันยินดีที่หลานสาวคนเดียวของดิฉันเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาซะที โดยเฉพาะฝาอย่างคุณทรงพลและคุณศุภารมย์ ฉันยิ่งดีใจ เพราะสองคนนี้เป็นคนดีที่ฉันเห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลายคนคงเคยได้ยินคุณทรงพลและคุณศุภารมย์พูดถึงดิฉันด้วยความเคารพอยู่บ่อยๆ แต่ดิฉันอยากจะบอกว่าที่ทั้งสองคนมีทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะดิฉันหรอกค่ะ แต่เพราะความกตัญญูรู้คุณของทั้งคู่มากกว่า ถ้าจะมีอะไรที่ฉันอยากบอกกับเจ้าสาวก็คงจะเป็นเรื่องนี้...ถ้าอยากเจริญ มีชีวิตที่ดี ต้องมีความกตัญญูรู้คุณเป็นที่ตั้ง...ยายรักหนูนะ”

เสียงปรบมือดังขึ้นทั้งห้องด้วยความประทับใจ วาสนาปลาบปลื้มน้ำตารื้นถอยมายืนข้างวรรณิต ส่วนทรงพลก้าวออกไปอวยพรบ่าวสาว ช่วงนั้นเองมีเจ้าหน้าที่ของโรงแรมนำกระดาษโน้ตมาส่งให้วาสนา

“ถ้าไม่อยากให้งานนังปรางล่ม มาเจอที่ห้องซักรีด” วาสนาอ่านข้อความนั้นจบก็รีบบุ่มบ่ามเดินออกจากงานไปทันที วรรณิตมองตาม แปลกใจว่าใครส่งอะไรมา

เดินออกมานอกห้องจัดเลี้ยงแล้ว วาสนาคาใจ ไม่หาย บ่นพึมพำว่าใครกันที่เขียนข้อความแบบนี้ หรือว่าจะเป็นยงยุทธ แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อมันตายไปแล้ว...

แม้จะคิดอย่างนั้นแต่เธอก็อดหวั่นใจไม่ได้ รีบโทร. ตามนพกรมาพบ...ส่วนในห้องจัดเลี้ยง พอทรงพลกล่าวอวยพรบ่าวสาวจบ พิธีกรประกาศต่อไปว่า

“และแล้วก็มาถึงช่วงเวลารอคอยที่สำคัญ ทุกท่านคงอยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่าทั้งสองพบรักกันได้อย่างไร แล้วอะไรทำให้พวกเขารักกัน การเดินทางมาของความรักของพวกเขาทั้งคู่จะเป็นอย่างไร และต่อด้วยวีดิโอพรีเซ็นเทชั่นของทั้งคู่ ขอเชิญบ่าวสาวออกมาเล่าเรื่องราวให้พวกเราร่วมเป็นสักขีพยานในความรักด้วย...เชิญครับ”

อนันยชจูงมือวรรณิตเดินออกมาหน้าเวที วรรณิตจิตใจว้าวุ่นเอาแต่มองหาวาสนาที่หายเงียบออกไป ฝ่ายทิวัตถ์ไม่ว่าลิลินจะขยับไปทางไหนก็คอยประกบแจราวกับเธอเป็นนักโทษ สิตาเห็นเข้าเลยเป็นเรื่องเพราะความหึงหวง

ลิลินอยากแกล้งสิตาที่ปากเสียชอบเหยียดคนอื่น ก็เลยทำทีควงแขนทิวัตถ์แล้วจิกกัดหล่อนว่า

“แหม...ใส่ชุดเจ้าสาวมาอย่างนี้เคยได้ยินไหมว่ามันเป็นลาง แต่คิดดูแล้วยังไงชาตินี้คุณก็คงจะไม่ได้แต่ง... ไปกันเถอะค่ะคุณวิน”

สิตาเหลืออด กระชากแขนทิวัตถ์ออกมาแล้วตบหน้าลิลิน แถมด่าซ้ำว่านังหน้าด้าน!

เท่านั้นไม่พอ...สิตาหันไปคว้าแก้วเหล้ามาสาดใส่ชุดสวยๆของลิลินจนเปรอะเปื้อน

“หวังว่าแอลกอฮอล์คงช่วยล้างความคิดชั่วๆของเธอที่จะจับแฟนคนอื่นได้ซะทีนะ”

ลิลินหมดเวลาตอบโต้เพราะมีงานสำคัญรออยู่ เธอเดินจากไปเงียบๆ ทิวัตถ์ทำท่าจะก้าวตามแต่สิตารั้งไว้อย่างไม่ยอม

ลิลินไม่สนใจชุดตัวเองว่าเปื้อนแค่ไหน เดินเข้ามาหน้าห้องควบคุมระบบไฟและไม่เห็นตำรวจอยู่แถวนี้ รีบหยิบมือถือออกมากดหาปรมัตถ์ กล่าวน้ำเสียงค่อนข้างร้อนรน “พร้อมแล้วใช่ไหม ตอนนี้ลินอยู่ที่หน้าห้องจ่ายไฟแล้ว...เตรียมตัวนะ”

“ระวังตัวด้วยนะลิน”

“มัตก็เหมือนกัน...เจอกันหลังงานเลิก”

หลังจากนั้นไม่นาน ไฟในห้องครัวก็ดับพึ่บ ตามด้วยในห้องจัดเลี้ยง และค่อยๆทั่วไปหมดทั้งโรงแรม ผู้คนแตกตื่น ศัลย์สั่งลูกน้องให้ตรวจสอบทุกจุด และอีกส่วนตามหาผู้กำกับทรงเผ่าให้เจอ ขณะที่ทรงพลนึกห่วงกานดา ถามว่ามีใครเห็นเธอบ้างไหม

ศุภารมย์ได้ยิน ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “ทำไมคะ พอไฟดับแล้วทำให้นึกถึงตอนดับไฟเหรอคะ”

“ไม่มีอะไรน่าคุณ ผมแค่จะสั่งงานเขาเท่านั้น”

กานดาเดินเข้ามาพอดี ท่าทางเลิ่กลั่กเหงื่อผุดเต็มหน้า ทำให้ศุภารมย์สงสัยถามเธอว่าไปไหนมา

“ก็อยู่แถวนี้แหละค่ะ”

“แน่ใจนะ คงไม่ได้ไปเตรียมการอะไรอยู่ใช่ไหม”

“คุณต่ายหมายความว่าไงคะ”

ศุภารมย์ไม่ตอบ จ้องหน้ากานดาที่หลบสายตาอย่างมีพิรุธ

ooooooo

ลิลินลอบเข้าไปขังช่างไฟตัวจริงไว้ในห้องหนึ่งแล้วให้ปรมัตถ์ทำหน้าที่แทน ไม่นานปรมัตถ์ก็จัดการตามแผนได้อย่างสะดวก เตรียมพร้อมที่จะเปิดคลิปวีดิโอหมอศรัณย์รักษาอาการป่วยของทิวัตถ์ต่อหน้าทุกคนภายในห้องจัดเลี้ยง ทันทีที่ระบบไฟทำงานได้ตามปกติ

ด้านวาสนาที่กำลังเผชิญกับความหวาดกลัว เธออยู่ในห้องซักรีดแล้วก็พบคนที่ไม่อยากเจอเข้าจังๆ

เขาคือยงยุทธนั่นเอง วาสนาเบิกตาโตตกใจสุดขีด!

“แกคงคิดว่าฉันตายไปแล้วใช่ไหมอีแก่”

“ไอ้ยุทธ! แก...แกตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก เพราะทำไมรู้ไหม...เพราะฉันต้องฆ่าแกก่อน”

ยงยุทธดึงมีดที่ซ่อนไว้ออกมา วาสนาหวาดกลัวหันหลังวิ่งหนีแต่ไม่รอด ถูกยงยุทธล็อกตัวดิ้นไม่หลุด

“ไอ้ยุทธ...แก...แกวางมีดลงก่อนเถอะ แกอยากได้เงินไม่ใช่เหรอ ถ้าแกฆ่าฉัน นอกจากจะไม่ได้เงินแกยังต้องติดคุกอีกนะ”

“หุบปาก! คิดว่าฉันจะเชื่อไอ้ปากเน่าๆของแกหรือไง รู้อะไรมั้ย พอฉันฆ่าแกเสร็จ ฉันก็จะเอาความลับของนังปรางไปขู่เอาเงินจากมัน...ไงล่ะ แกก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าฉันหรอกเว้ย”

ยงยุทธยกมีดจะแทงวาสนา แต่ทันใดนั้นตาไวเห็นใครบางคนเงื้อของแข็งในมือจะฟาดลงมาจึงเอี้ยวตัวหลบ แล้วศอกกลับใส่มันจนหน้าหงาย ก่อนจะตบวาสนาจนล้มคว่ำแล้วจ้องมองทั้งคู่ด้วยแววตาสะใจ

“ไอ้นพกร...รู้ไหมว่าฉันตั้งตารออยากเจอแกแค่ไหน”

ยงยุทธคำรามพร้อมกับเตะเข้าไปที่ท้องนพกรก่อนหยิบราวเหล็กฟาดซ้ำจนสลบ วาสนากลัวสุดชีวิตกระเสือกกระสนวิ่งหนี ยงยุทธถือมีดก้าวตามอย่างใจเย็น

วาสนายังไม่หมดพิษสง เธอแอบในมุมมืดแล้วคว้าถังดับเพลิงกระแทกหน้ายงยุทธก่อนจะวิ่งหนีต่อไป

ooooooo

ไฟสว่างตามปกติแล้ว ทิวัตถ์จับผิดลิลิน คาดคั้นว่าที่ไฟดับเมื่อสักครู่เพราะฝีมือเธอใช่ไหม แต่เธอเล่นลิ้นว่า ถ้าอย่างนั้นส้วมเต็มคงจะเป็นฝีมือเธอด้วยสินะ

“ไม่ต้องมากวนฉัน บอกมาว่าเธอคิดจะทำอะไรกันแน่”

“ก็ทำให้ทุกคนรู้ความจริงไง”

“ทำอะไร” ทิวัตถ์กระชากแขนลิลินอย่างโกรธจัด

“เรื่องที่เกิดขึ้นฉันเคยบอกคุณแล้ว ตอนนี้คุณโทษฉันไม่ได้”

“ทำไม...เธอจะบอกอะไรฉัน”

“ฉันเคยจะให้นายดูสิ่งที่หมอศรัณย์ทำกับนายเอาไว้”

“โกหก!”

“โกหกหรือไม่เดี๋ยวนายก็จะรู้...เหมือนกับคนอื่นที่จะได้รู้ว่าพ่อฉันไม่ได้เป็นฆาตกร”

ทิวัตถ์สงสัยในคำพูดลิลิน...ทันใดไฟในห้องจัดเลี้ยงค่อยๆสลัวลง แขกเหรื่อหมายใจว่าจะได้ดูความเป็นไปของเจ้าบ่าวเจ้าสาวตั้งแต่แรกรักจนถึงวันแต่งงาน โดยไม่รู้ว่าปรมัตถ์พร้อมแล้วที่จะเปิดคลิปสำคัญ

แต่แล้วทุกอย่างหยุดชะงัก เมื่อวาสนาวิ่งกระเซอะ กระเซิงเข้ามา ตามด้วยยงยุทธที่พุ่งเข้าล็อกคอแล้วเอามีดจ่อ ทุกคนแตกตื่นตกใจส่งเสียงอื้ออึง

“ไง...ดีใจมั้ยที่งานแต่งนังปรางจะกลายเป็นงานศพแก”

“วางมีดลงเดี๋ยวนี้” ศัลย์ร้องสั่งยงยุทธ พร้อมๆกับลูกน้องของเขากรูกันเข้ามาพร้อมอาวุธปืนในมือ

“วางมีดเถอะไอ้ยุทธ...งานนี้แกไม่รอดแน่”

“หุบปาก!” ยงยุทธตวาดวาสนา

วาสนาคิดว่าถ้าปล่อยยงยุทธรอดไป ความลับของวรรณิตต้องแตกแน่นอน จึงหว่านล้อมมันว่า

“เอางี้มั้ย...ฉันจะช่วยแก แกคิดว่าตำรวจเขาจะกลัวคนที่ถือแค่มีดหรือไง ในกระเป๋าฉันมีปืน”

“คิดว่าฉันจะเชื่อแกหรือไง”

“ก็ดูสิ” วาสนาเปิดกระเป๋าเผยให้เห็นปืน “แกเอามาจี้ฉัน แล้วก็จับฉันเป็นตัวประกันแล้วค่อยหนีออกไปทางด้านหลัง”

“แกช่วยฉันทำไม”

“ยังไงเราก็เป็นญาติกัน”

ยงยุทธยิ้มร้ายก่อนจะโยนมีดออกไปแล้วหยิบปืนในกระเป๋าวาสนาขึ้นมาตะโกนว่า “แต่ฉันไม่นับญาติกับแกเว้ย”

วาสนามือไวใช้กระเป๋าฟาดหน้ายงยุทธแล้ววิ่งหนี ทันใดนั้นเสียงปืนระดมยิงใส่ยงยุทธไม่ยั้งตามคำสั่งของศัลย์ กระสุนบางส่วนไม่ถูกเป้าพุ่งไปโดนกระถางและผนัง แต่มีนัดหนึ่งไปโดนคอมของปรมัตถ์เต็มๆ

ยงยุทธพยายามหนี พร้อมกันนั้นก็จะใช้ปืนยิงวาสนาแต่กลายเป็นว่าปืนในมือเป็นปืนไฟแช็ก

“อีแก่!” ยงยุทธคำรามลั่นก่อนจะล้มลงแน่นิ่ง คนในงานแตกฮือ วรรณิตช็อกอุทานเรียก “พี่ยุทธ” ศัลย์ได้ยินถึงชะงัก จ้องมองเธอด้วยความสงสัย

ส่วนลิลินที่ยืนห่างออกไป มองเหตุการณ์ทุกอย่างที่พลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ!

ooooooo

อ่านละคร ลีลาวดีเพลิง ตอนทีี่ 10 วันที่ 20 ม.ค. 58

ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง บทประพันธ์ : กิ่งฉัตร
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง บทโทรทัศน์ : อภิวัฒน์ เล่าสกุล
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง กำกับการแสดง : ตรัยยุทธ กิ่งภากรณ์
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง ผลิต : บริษัท ปรากฏการณ์ดี จำกัด
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง ควบคุมการผลิต : ชวลิต พงศ์ไชยยง
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง ออกอากาศ ทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เวลา 20.30 น. ทาง ช่อง7 และ 7HD
ที่มา ไทยรัฐ